the farewell ball

.
.
.
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปี 2010 ถูกบันทึกว่าเป็นครั้งแรกที่ผมกับตัวมิ้นได้รู้จักกับเพื่อนคนไทยกลุ่มแรกที่สวิตเซอร์แลนด์หลังจากอยู่ที่นี่มาหลายปี

จากประสบการณ์เพื่อนคนไทยในต่างแดนที่เคยมีมาก่อนหน้า ทำให้ในตอนนั้นเราทั้งสองคนไม่ได้คาดหวังอะไรจาก “เพื่อนใหม่” มากไปกว่าการสังสรรค์ ปาร์ตี้ กินเหล้า แบบพื้นๆ และผ่านค่ำคืนบางคืนด้วยกันแบบเฮฮาไปเรื่อยบ้างในบางครั้ง

ช่วงเวลาแรกๆ ของกลุ่มเพื่อนที่มีอยู่ไม่ถึงสิบคนกลับให้สีสันมากกว่านั้น ระหว่างที่ได้ “สังสรรค์ ปาร์ตี้ กินเหล้า” กันไปพลางๆ ผมกลับได้มีโอกาสพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด และประสบการณ์กับเพื่อนที่มีองค์ประกอบที่ทั้งหลากวัย หลากบุคลิกภาพ และหลากพื้นเพพร้อมๆ กัน อย่างที่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำมาก่อน หรือไม่เช่นนั้นก็ไม่เคยเข้มข้นถึงระดับนี้

ระหว่างนั้น ผมเลยคิดว่าฤดูหนาวที่สวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่เลวร้ายนัก เพราะมีบรรยากาศอบอุ่นระหว่างเพื่อนฝูงปกคลุมอยู่

เวลาผ่านไปอีกหลายฤดูหมุนเวียน พร้อมกับปริมาณกิจกรรมที่ทำร่วมกัน บันทึกเรื่อง”เริง”เพิ่มจำนวนหน้ามากขึ้น จำนวนผู้คนในแวดวงได้ขยายตัวกว้างมากขึ้น จนในที่สุดคลอบคลุมจนไปทั่วประเทศ

ในขณะที่ภาระส่วนตัวของแต่ละคนเพิ่มพูนเข้ามาตามธรรมชาติของการเรียนและการทำงาน เรายังคงสามารถบริหารเวลาให้มาเจอกันได้อยู่สมอ

บางครั้ง ผมกับตัวมิ้นก็ได้มีโอกาสต้อนรับ “เพื่อนฝูง” ที่บ้าน ในหลายวาระ หลายรูปแบบ และหลายธีม

นัดกินข้าว เล่นเกม ปาร์ตี้ชุดนอน สังสรรค์โต้รุ่ง งานเลี้ยนวันเกิด ฉลองเทศกาล โต๊ะอาหารแบบฝรั่งเศส ดื่มชาแบบอังกฤษ เมาเหล้าแบบเมียไม่อยู่บ้าน ไปจนถึงเฮาส์คอนเสิร์ต และงานเลี้ยงส่งเพื่อนที่ถึงคราวต้องกลับประเทศไทยก่อนคนอื่น

สามปีมากพอที่จะทำให้รูปแบบของการเจอกันพัฒนาเปลี่ยนไป จากจำนวนคนหลากหลายกลุ่มที่แตกตัวกันออกไปตามความสนใจ จากการเติบโตของสมาคมนักเรียนฯ จากกระแสของเพื่อนเก่าที่จากไปและเพื่อนใหม่ที่เข้ามา บ้านที่ rue des pâquis จึงได้มีโอกาสต้อนรับเพื่อนฝูงน้อยลง

แต่สามปีก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ทำให้ความสนุกที่ได้เจอกันจางหาย ไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะเบาลง และไม่ทำให้จิตวิญญาณ”เริง” ลอยออกจากร่างของใครไป

เมื่อมาคิดดูแล้ว มันจึงเป็นเวลาสามปีที่ผมกับตัวมิ้นจะระลึกถึงว่ามีความหมายมากพอสมควร น้ำหนักของมันสามารถถ่วงวิถึชีวิตคู่ช่วงเริ่มต้นของเราให้ไปสู่ทิศทางที่มีความสมดุลมากขึ้น

ต้นฤดูหนาวปี 2013 ผมกับตัวมิ้นเดิมทีตั้งใจจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เราแค่ต้องแพ็คของและเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทยเหมือนกับที่เพื่อนหลายคนได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเท่านั้น ขณะนี้กล่องของที่แพ็คเสร็จเรียบร้อยถูกตั้งซ้อนกันหลายแถว สูงจนเกือบถึงเพดาน ของที่อยู่ตามชั้นและตู้ต่างๆ ถูกนำลงมาวางเกะกะทั่วไปเพื่อประโยชน์ของการจัดระเบียบสมบัติ

เมื่อมองไปรอบๆ มันก็คือฉากของการอำลานั่นเอง

เพียงฉากดังกล่าวเหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จ ถึงแม้จะมีกรงปุเรงเวอร์ชั่นสำหรับเดินทางวางตั้งอยู่ แต่เราพบว่ามันยังไม่สมบูรณ์มากพอ เหมือนหนังสือที่ยังขาดปกหลัง เหมือนจดหมายที่ไม่มีคำลงท้าย

และเหมือนบันทึกการ”เริง” ที่หาทางจบไม่ลง…

หากไม่เพิ่มงาน “สังสรรค์ครั้งสุดท้าย” เข้าไปอีกสักหนึ่งหน้า
.
.
.

ควันหลงสกีขาวๆ

.

.

จบกันไปแล้วสำหรับทริปสกีหรรษาประจำปี ขอสรุปทิ้งท้ายเอาไว้เป็นที่ระลึกด้วยการมอบรางวัล “ที่สุด” เช่นเคย

สาขาสกีดีเด่น

เทพสกีที่สุด – วัส

เทพสโนบอร์ดที่สุด – ฆ้อน

เจ้าอุปกรณ์ที่สุด – ฆ้อน

แฟชั่นที่สุด – พี่ตอย (ฆ้อนต้องยอมเสียตำแหน่งว่ะ)

ช๊อปมือเติบที่สุด – ยอด (จัดแว่นสกีไปหนึ่ง)

ภาพกีฬามันมัน สาขาดารานำ “ถี่ที่สุด” – ยอด (มีวิดีโอ)

ภาพกีฬามันมัน สาขาดารานำ “ฮือฮาที่สุด” – วัส (พี่เกือบได้แล้ว แต่ของวัสแซงโค้งสุดท้ายจริงๆ – มีวิดีโอ)

คว่ำดีเด่น – นัต (ไม่คว่ำเปล่าแต่เอาสโนบอร์ดฆ้อนร่อนไปครึ่งเขา – มีวิดีโอ)

สามีดีเด่น – Claud สามีพี่ตอย (ไอ้เราก็กะได้ชัวร์ๆ นะเนี่ย)

หัวหน้าใหญ่สุด – La Rosay

เหนื่อยที่สุด – บันไดขึ้นลงร้านสกี

.

.

สาขาพฤติกรรมบน Piste 

คึกที่สุด – วัส

ปากดีที่สุด – ยอด

เสี่ยงตายที่สุด – ซูม (ขอซิ่งอย่างเดียว เลี้ยวไม่ต้อง)

เปรี้ยวที่สุด -ซูม (ทั้งกระโดด ทั้งหมุนตัว)

ขวางทางที่สุด – ยอด

โหดที่สุด – พี่ป้อง (ผลงานหนึ่งศพ)

แรงน้อยที่สุด – มิ้นกับพีช (สกีกันคนละชั่วไมง หมดหลอด)

เจ็บที่สุด – พีช (ขนาดฟังยังเจ็บแทน)

ซวยที่สุด – ปาย (iPhone หายกลาง piste)

หัวใจนายหล่อสุดๆ – ปาย (iPhone หายยังไม่หยุดสกี)

ก้าวหน้าที่สุด – พี่ป้อง อ๊อฟ ปาย ตั๊ก

“หายไปไหน” ดีเด่น – พีชกับแอปเปิ้ล

ป๋าสุด – พี่ป้อง กับ ปาย (ซื้อพาสเต็ม แต่ไม่ขึ้น)

ป๋๋าสุดๆ – พี่ตอย (ซื้อพาสทุกวันแต่เล่นวันละชั่วโมง)

ป๋าสุดๆๆ – ตั๊ก (จัดครูส่วนตัวไปสามชั่วโมง เอ๊ะ…หรือสี่)

.

.

Chalet

สาขาชาเลท์เฮฮา

ร่วมสาบานที่สุด – ฆ้อน ยอด นัต

ตกแต่งสถานที่ยอดเยี่ยม – มิ้น

สัมภาระเยอะที่สุด – ปุเรง

โคตรซวยที่สุด – รถพี่ตอย

กิจกรรมฮิตที่สุด – ดูภาพกีฬามันมัน

เรื่องเล่าดีเด่น – มิ้น

สปอยล์ที่สุด – ฆ้อน

มาคุที่สุด – พี่ป้องกับฆ้อน

คู่กัดยอดเยี่ยม – ยอดกับท๊อป (พี่กับมิ้นยกตำแหน่งประจำให้)

คู่หูยอดเยี่ยม – วัสกับท๊อป (โบกรถมาเองจนถึงชาเล่ท์ได้)

ปากดีที่สุด – ยอด

“Wonder” ที่สุด – ตั๊ก (หัดเกมแรกชนะเลย)

หนวกหูที่สุด – วัส (ทุกเช้า)

หนวกหูที่สุดพอกัน – ยอด (เล่นเปียโนทั้งวัน)

อาบน้ำนานที่สุด – ยอด

ห้องน้ำแฉะที่สุด – ยอด

แดกเยอะสุด – ซูม

ของเล่นดีเด่น – เตาผิง

เยอะที่สุดในตู้เย็น – น้ำผลไม้

พ่อครัวดีเด่น – ฆ้อน (เฉือนวัสไปนิดเดียว เพราะสะสมคะแนนมาตั้งแต่สามวันแรก)

แม่ครัวดีเด่น – มิ้น

เด็กล้างจานดีเด่น – ซูมกับปาย

เด็กเฝ้าเตาดีเด่น – วัส

กินแรงที่สุด – นัต (อาหารก็ไม่ทำ จานก็ไม่ล้าง)

.

.

มีอีกหลายรางวัลที่จ่อคิวมอบ แต่เอาแค่นี้ก่อน คงพอสนุกสนานหอมปากหอมคอ

ขอเสียงครืดหิมะจงมีแด่ท่าน

.

.

หมายเหตุ: วิดีโอและมัลติมีเดียทั้งหลายหาดูได้จากฆ้อนเป็นการสาธารณะ

.

ฮีโร่ของฉัน คือ “คุณ” นั่นเอง ^__^

แบ่งปัน Diary นี้ มา ให้ แด่ ATSS กัลยาณมิตรของเพ็ญค่ะ

ไม่ ค่อย กล้า เขียน ใน Rue Des Paquis 25 เท่าไร ค่ะ เพราะ ไม่รู้ว่า เรื่องที่เขียนไป จะ เกี่ยวกับ ทุกคนป่าว
ที่ผ่านมาเลยไม่ได้ โพสตฺอะไร ^_^กลัว่าจะไป รก บล๊อกเค้าป่าวๆ ค้าบ ^_^”””

แต่พอดีช่วงที่ผ่านมาเพ็ญ ได้มีโอกาส เจอกับบททดสอบ อีกครั้ง ของชีวิต
มีโอกาส ได้ตกผลึกความคิดอะไร บางอย่าง

หยิบประสบการณ์และข้อคิดอะไร หลายๆอย่างมาจากหลายที่ หลายๆ ช่วงเวลา
พอดี ครั้ง นี้ ช่วงเวลา ที่ หยิบมาเป็น ส่วนประกอบ ใหญ่ เกิด ขึ้นที่ สวิสนี้เอง
และ มี สมาชิก หลายคน ใน Rue Des Paquis ที่เพ็ญ เรียกได้ว่าเป็น กัลญาณมิตรที่ดีของเพ็ญอยู่ที่นี้ ด้วยก้เลย อยากเอามา แบ่งปัน และ ถือโอกาส ขอบคุณไปด้วยในตัวค่ะ

เชื่อว่า ทุกๆคนก็ต้องเคย ประสบพบเจอ กับความทุกข์ใช่ไหม ค่ะ ไม่ว่าจะทุกข์ เรื่อง อะไร การงาน การเงิน ครอบครัว ความรัก และเพื่อน
แต่เชื่อว่า สาเหตุ หลักๆ คงน่าจะมีรากฐานมาจากสิ่งเดียวกันคือ

“สิ่งที่คุณ หวัง หรือ อยากที่จะให้มันเป็น ไม่ได้ หรือ ไม่ได้ เป็น อย่างที่คุุุุณหวังเอาไว้”

ฉันเองก็ เช่นกัน ค่ะ เป็น มนุษย์ ธรรมดา ก็มีความทุกข์

ความทุกข์นั้น ก็มาเป็น ระยะระยะ สัพเพเหระ
บางช่วง ทุกข์ เรื่อง งาน เรื่อง เรียน เรื่องอนาคต เรื่อง คน เรื่อง ความรัก บนๆกันไป

ตลอดเวลาก็พยายามจะ หาทางที่จะ พ้น ไปจากความทุกข์นี้

เนื่องจากเป็นคน ชอบคิด แก้ปัญหา ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา หรือุปสรรคง่าย
เวลาเจอกับปัญหา ที่เขามาชน หรือมา ท้าทาย เลย มักจะไม่ยอมยอมแพ้มันง่ายๆ
พยายาม หาเหตุผล หาที่บกพร่องมา ปรับปรุงตัวเอง หรือ ที่ๆ คิดว่าน่าจะเป็น ต้นเหตุก่อน
คือเป็น ประเภท ไม่อยากปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม
ไม่ว่าเรื่องไหนๆก็ตาม

แต่พอใช้ชีวิต แก่ขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ผ่านเรื่อง หรือปัญหา ต่างๆมามากขึ้น
เราทุกคนก็มักจะต้องพบเจอกับ เรื่องบางเรื่องที่ แม้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไร
ปรับปรุงตัวเองให้ ดีขึ้น อย่างไร

แต่ดูเหมือน อะไรอะไร มันก็ไม่มีทีท่าที่จะดีขึ้นเลย

อีกหนึ่งบทเรียนที่ เรียนรู้ มัน ด้วยเวลา

บทเรียนนั้น คือ

บางครั้งหลังจากที่เราได้พยายามทำทุกๆอย่าง อย่างดีที่สุดสุดความสามารถของเราแล้ว
แต่ผลที่ออกมา มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังไว้

บางที่สิ่งที่ยากที่สุด ในการที่เราจะ  “ทำ” ต่อไปคือ
 คือ “การไม่ทำอะไรเลย”  อยู่เฉยๆ และรู้จักที่จะ “ปล่อยวาง”บ้าง

ทางธรรม ท่าน คงจะเรียกสิ่งนี้ว่า “อุเบกขา”

แปลกนะค่ะ เรื่อง่ายๆที่เรา ถูกพูด พร่ำสอนกรอกหู มาตั้งแต่ ประถม
เรื่อง เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา

ภาคทฤษฏี ดูท่องเอาท่อง เอา สอบพระพุทธศาสนา ทีเราก็ ผ่านได้เกรดดีทุกที
แต่ พอมาถึงภาคปฏิบัติ พวกเราหลายๆ คนกลับ ตกม้าตากันเป็นแถวๆ

ฉันก็ด้วยคนหนึ่ง ซึ่ง พอมาถึงอุเบกขาแล้ว กลับทำไม่ได้
ในหลายๆเรื่อง ทั้ง การงานบางอย่าง ปัญหา  และบางครั้ง ไปถึง เรืองความรัก

กับฉัน มันช่างอยากเหลือเกิน กับคนที่ จบหมอ มา อาชีพที่ถูกปลูกฝั่งมา ตลอด ว่าให้เป็น 
“ผู้ให้”   แต่ จริงจะว่า หมอ ให้ แบบ ไม่ หวังสิ่ง ตอบแทนก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะค่ะ

หมอ ให้ แล้ว ก็ หวังผลตอบแทนนะค่ะ จะบอกให้

หมอทุกคนหวัง อยากจะให้  ”คนไข้ที่มาดูแลรักษา กับ เราหายดี’  นั้น เป็นความหวังของหมอที่มีต่อคนไข้ทุกคน

ตามความเห็นของฉัน หมอ นั้นมี

“เมตตา”  ไม่อยากเห็นคนอื่นเป็นทุกข์
“กรุณา” อยากเห็น และ อยากช่วย ให้ เค้ามีความสุข หรือ หายดี
“,มุทิตา” ยินดี เมื่อเห็น เขามีความสุข  หรือ หาย

สำหรับมุทิตาเป็น ความรู้สึกที่ เหมือนเป็น ของขวัญมาก สำหรับฉัน การได้เห็น คุรลุง คุณ ป้า คุณตา คุณยาย ที่ เข้ามานอน รพ. หน้า ตาอมทุกข์ ปวด มีไข้ ลูหหลานคนรอบกายร้องไห้ มี แต่ความทุกข์ เข้า ห้อมล้อม   แล้ว วันที่ให้ คนไข้ กลับบ้าน หน้า ตายิ้ม แย้ม เบิกบานคุย เล่นหยอกล้อกับ เราได้ ยิ่งวันนัดมา ติดตามอากการ หากคนไข้ แข็งเรา ยิ้มกินข้าวปลาได้ ลูกหลานมีความสุข

มัน เป็นความสุข อย่าง วิเศษที่สุด
เชื่อว่า หมอ หลายๆ คน ยังคง ประกอบวิชาชีพ หมอ ก็ เพราะมีความรู้สึก ปิติ นี้ หล่อเลี่ยงหัวใจอยู่
แม้ว่างานจะหนักแค่ไหน ก็ทนได้

แต่ มีสมหวัง ย่อมมีผิดหวัง
บางครั้ง เรา ไม่สามารถ ช่วยเหลือชีวิต คนไข้ ไว้ได้
บางครั้ง มีความคิดนี้ ตลอดเวลา ช่วย เขาไว้ไม่ได้
ว่า ถ้า เรารู้มากกว่านี้ เราอาจจะช่วยเขาไว้ได้

จำได้ ตอน ปี 4 คนไข้ของฉันเสียชีวิต ตอนฉัน กำลัง ช่วย ใส่ ท่ออาหาร คุณลุง เป็นมะเร็ง ขั้นสุดท้ายแล้ว
ท่านจากไปอย่างสงบ
แต่ฉัน บอกตรงๆว่า ช๊อคมาก น่าจะเป็น ครั้ง แรกที่ฉัน ที่สำผัส กับ สิ่งที่เรียกว่า”ความตาย” ใกล้ ขนาดนี้
ตอนที่ท่านสิ้นลม ฉันยังอยู่ข้างท่านอยู่เลย

แม้ว่าคุณลุงจะจากไปโดยสงบ เพราะญาติ และท่านเองไม่ประสงค์ให้มีการปั๊มหัวใจ หรือใส่ท่อช่วยหายใจใดๆ
แต่ฉันก็ยังอดใจหายไม่ได้
จำได้ ว่า พอ เข้าไปใน ห้อง พักแพทย์น้ำตาไม่รู้จากที่ไหน ไหลริน มาอาบแก้มทั้งสอง ข้าง

มันเป็นความรู้สึกเสียใจ ที่ไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ ปนๆ กับความผูกพันที่มีต่อคนไข้
ร้องไห้ไม่หยุด จน ต้อง พี่ หมอคนหนึ่งเข้ามาปลอบ
 บอกว่า “เราทำดีที่สุดแล้วนะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” แม้ ยังเสียใจ แต่นั้น ก็สามารถ ทำให้ ฉัน หยุดร้องไห้ได้

ผ่านมาจากเหตุการณ์นั้น อีกหลายปี ระหว่างนี้ มาเรื่องราวต่างผ่านเข้ามามากมายในชีวิต
ทั้งทมี่รู้สึกโชคดีที่สุดในชีวิต และแน่นอนก็ย่อม มีเรื่อง ไม่สมหวังเข้ามาเช่นกัน ทั้งกับ คน กับงาน และอะไร อีกลายๆอย่าง

จนช่วงที่ ไปอยู่ที่ เจนีวา ฉันก็ได้ พบกับบททดสอบที่ยากมา และทรมาน มาก น่าจะเกือบที่สุด
ตอนนั้น รู้สึกค่อนข้าง แย่ เลย จริง เพราะ หลายๆ สิ่งที่ได้เป็น อย่างที่ เรา อยากจะให้ มันเป็น

โชคดี ที่ ยังมีกัลยาณมิตรที่ดี และ อยู่ใกล้วัด เลยได้ ไปนั่งสมาธิ และฟังธรรมจากท่านภันเต
ท่านภันเตเป็น พระสงฆ์ ชาวศีรลังกา ที่เป็น เจ้าอาวาสที่ วัดที่เจนีวา ค่ะ
ท่านเป็น คนที่น่าเสื่อมใสมาก เป็น คนที่ เวลา เราอยู่ใกล้ จะรู้สึกเย็น กาย สบายใจ

ในวันมาฆบูชา ท่านได้ สอน เรื่องๆ หนึ่ง ขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
“Learn to see thing as it is”
ให้ รู้จักมอง สิ่งที่เรา เห็น อย่างที่ มัน เป็น ไม่ใช้  มอง ให้ มัน เป็น อย่าง สิ่งที่เรา ต้องการให้มันเป็น

ไม่อย่างงั้น เราจะ ทุกข์
ทุกข์ เพราะ มัน ไม่ได้ ดั่งใจ

ในเมื่อ เกิดที่”ใจ” ก็ต้องดับที่ “ใจ”

เราจะทุกข์ได้ ง่าย เมื่อ เราเอาความสุขของเรา
ไปผูกไว้กับ สิ่ง อืนที่ไม่ใช่ตัวเรา
เพราะ ทุกสิ่ง ไม่เที่ยง
ล้วน เกิด ขึ้น ตั้ง อยู่และ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเสมอ
ซึ่ง ต่างจาก เราที่มักจะ หวังให้ สิ่งๆ นั้น คงที่ หยุดไว้ ณ จุดเดิม

ซึ่งมันเป็น เรื่องที่ผืนธรรมชาติ
… เพราะ แม้ แต่ตัว เรา เมื่อ ผ่านไปทุกๆวินาที ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง
ทุกวินาที ทุกเซลล์ ทุกส่วนใน ร่ายกายเราก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป
แม้ แต่ร่างกาย เรา เรายังควบคุมมันไม่ได้
ไม่ให้เปลี่ยนไป

แล้วเราจะทุกข์ทำไม ในสิ่งภายนอกที่มันเปลี่ยนไป

บางทีความทุกข์มัน ในสิ่งที่ “เปลี่ยนไป”
มันอาจจะเบาบางลง หากเรารู้จัก คำว่า “เข้าใจ” สัจธรรมข้อนี้

คงไม่มีใครช่วยใครได้ ใน เรื่องนี้ เพราะ

เหตุ เกิดที่ไหน ก็ ย่อม ต้องดับที่นั่น

เมื่อทุกข์ เกิดขึ้น ที่ ใจ ก็ ต้อง ดับที่ ใจ

และคนๆ เดียว ที่จะดับมันได้ ก็คือเราเอง

เพราะ ฉนั้น  “คุณ” ใช่ แล้วแหละค่ะ ตัวคุณ เองที่จะ ช่วย ตัวคุณให้ พ้นทุกข์ได้

ไม่ ต้อง รอพระเอกขี่ม้าขาวมาจากที่ไหน
สุขง่ายๆ เริ่มที่ใจเราเอง

แต่ก่อนฉันมี  motto ประจำใจว่า

เสีบใจที่ทำไม่ได้
ดีกว่า เสียใจที่ไม่ได้ ทำ

แต่ ณ วินาที คง อาจจะต้องเติม ท้ายของ motto ประจำใจต่อไปว่า

แต่ถ้า ทำแล้วทำไม่ได้  ”เสียใจ” ได้ แต่อย่านาน
ต้องรู้จัก “ปล่อยวาง”  แล้ว ก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้
เพราะ เราทำดีที่ สุดแล้ว

ให้ เราเก็บ ประสบการณ์ ที่เรา ได้เรียนรู้ มาเป็น บทเรียน เพื่อปรับปรุงตัวเอง
แล้ว ทำ พรุ่งนี้ ให้ ดีกว่าเดิม

………………ตกผลึกจากการอยู่ เวร มาก สามวัน ติดกัน…………….
…….อยู่ ที่รพ.ต่างจังหวัด สงบๆแห่งหนึ่ง ณ เชียงราย ในวันที่ฝนตกตลอดเวลา หมอกลงบางๆ ที่ภูเขา……….
บรรยากาศเย็นๆ ภูเขา สูงใหญ่ ทุกนา เขียงขจีสุกลูกหูลูกตา……………..
การได้ หลีกหนีจากชีวิต วุ่นวายในเมืองหลวง………………….

ขออภัยล่วงหน้า หากยัง เรียบเรียงได้ไม่ดีนะค่ะ  พอดี เพิ่งตกผลึกความคิดได้เลยรีบเขียนไว้ก่อน ก่อนที่จะลืมไป ซะก่อน
เพราะ พอ พรุ่งนี้ เจอ เรื่องวุ่น วาย เรื่อง ที่ตกผลึกนอนก้นแล้วก็จะ ฟุ้งไม่เป็นระเบียบ อีกเลยรีบ เขียนเอา ไว้ ก่อน หลักเอาไว้ให้ตัวเองอ่านจะได้ เช้าใจ ชีวิตมากขึ้น
โตเป็นผู้ใหญมากขึ้น

ความเหมือน….ที่แตกต่าง

ฝนเขียนบันทึกเรื่องนี้ เพื่อจะเป็นความทรงจำว่า “First impression” ของการได้กลับมาเรียนอีกครั้งเพื่อเป็น “แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” หรือ Resident นั้นเป็นอย่างไร……………

ความรู้สึกแรกของการกลับมาเรียนคือ “เหงา” ค่ะ

ตอนเป็น “นักศึกษาแพทย์” มีเพื่อนเรียนเป็นกลุ่ม ไปเรียนก็ไปด้วยกัน กินข้าวก็กินด้วยกันเป็นกลุ่มๆ….แต่พอกลับมาเป็น “แพทย์ประจำบ้าน” กลับต้องอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ราวน์วอร์ดคนเดียว กินข้าวคนเดียว เข้าห้องผ่าตัดคนเดียว….ถึงจะมีเพื่อนกลับมาเรียนด้วยกันแต่ด้วยภาระงานของแต่ละคน ทำให้ต้อง “กระจายตัว” กันไปทำงานตามจุดต่างๆ ไม่ค่อยมีโอกาสได้มาสังสรรค์กันเหมือนเมื่อก่อน 😦

ความรู้สึกที่สองคือ “ต้องปรับตัว” ถึงแม้ว่าจะกลับมาเรียนที่เดิม บรรยากาศเดิมๆ อาจารย์คนเดิมๆ แต่มัน “ไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว…..ครั้งนี้กลับมาเพื่อเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ไม่ใช่ “นักศึกษา” อย่างเมื่อก่อน ที่อาจารย์จะคอยป้อน คอยสอนตลอดเวลา ต้องเรียนรู้ที่จะเรียนเอง ขวนขวายเอาเอง….เข้าช่วยผ่าตัดอาจารย์ก็ไม่ชี้ให้ดู ไม่บอกอีกแล้ว ต้องคอยสังเกตเอาเองว่าอาจารย์ทำยังไง แล้วเราจะทำตามได้ยังไง………..

ความรู้สึกที่สาม คือ “เข้าใจ” เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ resident ถึงคอยว่า คอยบ่นเราแบบนั้น….เข้าใจ ว่าทำไมพี่ถึงเลือกสอนน้อง….เขาดูที่ performance จริงๆ นะ….เพราะทุกอย่างที่ practice คือความเป็นความตายของผู้ป่วย และ resident เป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด….เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ถึงต้องถามจนมั่นใจว่าน้องๆ รู้วิธีการทำหัตถการต่างๆ อย่างถ่องแท้ ถึงยอมให้น้องทำได้

ทั้งหมดทั้งมวลที่บ่นๆ มา ทำให้มองเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า เวลาเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน ทุกอย่างไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ถึงแม้จะกลับไปอยู่ในที่เดิมๆ แต่สถานะไม่เหมือนเดิม มันก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป…โตขึ้นอีกขั้น ก้าวไปอีกขั้น สั่งสมประสบการณ์ไปอีกขั้น…..ช่วงชีวิตตอนเป็น “นักศึกษาแพทย์” เป็นช่วงเวลาที่มีคนสอนมากที่สุดในชีวิตแล้วจริงๆ เพราะเมื่อจบเป็น “แพทย์” แล้ว ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ถือว่าเราเท่ากัน คือเป็น “เพื่อนแพทย์” เหมือนกัน…..ความรับผิดชอบเท่ากัน!!

บันทึกการผจญภัยของลิงสาว

บันทึกการผจญภัยของลิงสาว

เขียนโดย ฝนถึงเพื่อนๆ ATSS ขณะบินอยู่เหนือประเทศอะไรบ้างก็ไม่รู้ (แต่ยังเขียนไม่เสร็จเพราะหลับไปซะก่อน มาเขียนต่อตอนอยู่เมืองไทยจ้ะ) ^w^

 

แด่……ผองเพื่อน ATSS ผู้ทำให้ลิงทั้งโลกสดใส

นิทานเรื่องนี้ based on true story ได้แรงบันดาลใจมาจาก นิทานวันกลับ เขียนโดยเพื่อนๆ สำหรับวันกลับบ้านของฝน

 

ปฐมบทการเดินทาง

กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งหิมะไม่เคยตก มีลิงสาวตัวหนึ่ง ได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์ให้เดินทางไปศึกษาคัมภีร์เคล็ดลับวิชาที่ดินแดนตะวันตกอันลึกลับ มันเกือบจะได้ไปไกลถึงดินแดนแห่งโลกเสรี แต่แล้วก็มีผู้รู้มาชี้ทางสว่างว่า แท้ที่จริงนั้น คัมภีร์เคล็ดลับวิชาอยู่กับ “คนที่คุณก็รู้ว่าคือใคร” (WHO) ลิงสาวไม่รอช้า รีบออกเดินทางตามหาคัมภีร์เคล็ดลับวิชาในทันที และนี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ในชีวิตของมัน ^w^

 

ปรมาจารย์ริปปาป้า

ลิงสาวเดินทางมาพำนักอยู่ ณ เมืองเจนี่ กองบัญชาการสำคัญของ “คนที่คุณก็รู้ว่าคือใคร”  มันเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนลิงอีกหนึ่งตัวที่สำเร็จสุดยอดวิชาจากสำนักเดียวกัน เนื่องจากวิถีชีวิตของลิงสาวสองตัวนี้ไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก เจ้าลิงสาวจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างหงอยเหงา ค่อยๆ ฝึกเคล็ดลับวิชาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม โดยหวังว่ามันจะสำเร็จวิชาและได้เดินทางกลับดินแดนตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์ในเร็ววัน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า วันแล้ววันเล่า จากวันเป็นเดือน จากเดือนก็เป็นหลายๆ เดือนน่ะสิ!

แล้ววันหนึ่งบนโลก cyber ขณะที่ลิงสาวกำลังทำการ round facebook อยู่นั้น [round เป็นคำกิริยา ย่อมาจาก ward round ซึ่งเป็นการตรวจผู้ป่วยใน ซึ่งปกติแพทย์จะต้องทำเป็นประจำทุกวันเช้าเย็น การ round facebook ก็เหมือนกับ ward round คือต้องทำเป็นประจำเช้าเย็นเช่นกัน แต่อาจจะเพิ่มเวลาก่อนนอนมาด้วยก็ได้ ;)] มันก็ได้พบกับ friend request ชื่อแปลกประหลาด “ริปปาป้า”

มันคิดในใจว่า “ใครกันนี่ ชื่อไม่คุ้นเลย ไหนๆ ลองดู profile pic หน่อยซิ  รูป profile ดูคุ้นๆ”

“เฮ้ย….นี่มัน….หนึ่งในปรามาจารย์ของเรานี่หว่า…แต่เอ๊ะ คุณครูแลดูสมบูรณ์ขึ้น ท่าทางจะมีความสุขสนุกสนานเป็นแน่แท้”

หลังจากวันนั้นที่มันกด accept friend request ของปรมาจารย์ริปปาป้า ชีวิตของมันก็เริ่มมีสีสันมาแต่งแต้ม ไม่หงอยเหงาอีกต่อไป ^o^

 

สมาคมรวมลิง

 

ปรมาจารย์ริปปาป้า เป็นปรมาจารย์สำนักข้างห้อง สมัยที่ลิงสาวกำลังศึกษาวิชาขั้นพื้นฐานอยู่ ขณะนี้ปรมาจารย์ริปปาป้า ได้รับทุนจากรัฐบาล Swatch มาทำโครงการวิจัยเรื่อง Mass communication ณ เมืองโลซี่ ปรมาจารย์ริปปาป้าบอกว่าจริงๆ แล้ว มีลิงซ่าส์แห่งโลกตะวันออกมากมายที่อาศัยอยู่ในสมาพันธรัฐ Swatch ได้ตั้งแก๊งขึ้นมา มันเหล่านั้นขนานนามแก๊งของตนเองว่า สมาคมรวมลิงแห่งโลกตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์ในสมาพันธรัฐ Swatch (สรลลตออศสสส….เอิ่ม ตัวย่อยาวขนาดนี้ใครจะไปจำได้ฟระ ขอเรียกสั้นๆ ว่า “สมาคมรวมลิง” ละกัน) โดยปรามาจารย์ริปปาป้า สัญญาว่าจะเป็นผู้พาลิงสาวสมัครเข้าแก๊ง สมาคมรวมลิงฯ ในลำดับถัดไป

อันที่จริงลิงสาวก็มีโอกาสได้เข้าพบหัวหน้าแก๊งสมาคมรวมลิงแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อคราวด๊อกเตอร์ผู้มีชื่อแห่งดินแดนตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองเจนี่ แต่ตอนนั้นมันก็ไม่ได้ติดต่อทางแก๊งไปอีก (ลิงสาวฝากกระซิบมาว่า มันแอบเสียดายจนถึงทุกวันนี้!)

แต่คงเป็นเพราะชะตาฟ้ากำหนด ให้ลิงสาวได้เป็นสมาชิกสมาคมรวมลิง ทำให้มันมีโอกาสได้เข้ากราบคารวะปรมาจารย์ริปปาป้าตัวเป็นๆ ณ เมืองโลซี่ ในวันหนึ่งหลังจากมันกลับจากประชุมที่เมือง มองเธอว์

ปรมาจารย์ริปปาป้า พาลิงสาวมาทานข้าวเย็น ร่วมกับลิงตั่วเฮีย ลิงหน้ามึน และลิงหยอย

ลิงตั่วเฮีย เป็นลิงจากโลกตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางไปศึกษาต่อที่ดินแดนแห่งโลกเสรี แต่ย้ายตามปรมาจารย์มาทำวิจัย ณ เมืองโลซี่ (ชื่อเรียกลิงตัวนี้ ห้ามเขียนเป็นภาษาปะกิดเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ออกเสียงเพี้ยนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน 4 ขาชนิดหนึ่งได้ >.<)

และด้วยความที่โลกเบี้ยวๆ ใบนี้มันกลมจัด ลิงสาวได้รับรู้ว่าลิงหน้ามึนเป็นเพื่อนของเพื่อนของมัน (งงมั้ย ลิงสาวมีเพื่อน และเพื่อนของมันเป็นเพื่อนของลิงหน้ามึน) แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นหรอก ยังคงมึนๆ งงๆ ต่อไป 5555

ส่วนลิงหยอย คาดว่ามันได้รับสมญานามนี้มาจากผมหยักศกดำสลวยหยิกหยอยของมันนั่นเอง

ณ ร้านอาหารแห่งนั้น แก๊งลิงย่อยๆ ของเราถูกคุกคามจากชะนีเจ้าถิ่น ลิงสาวรู้สึกกลัวเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ปรมาจารย์ริปปาป้าก็ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นไรออกมา ยังคงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ทำให้ลิงทุกตัวรอดชีวิตมาได้

 

เริง

ลิงสาวได้มีโอกาสร่วมกิจกรรม “เริง” ของสมาคมรวมลิงเป็นครั้งแรกที่บ้านของลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดไม่รู้กี่ปีของหัวหน้าแก๊งลิงโลซี่ ที่ควบตำแหน่งหัวหน้าแก๊งสมาคมรวมลิงไปด้วยในตัว และเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปีของลิงไฮโซ ศิษย์น้องของลิงตั่วเฮีย (คือจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าลิงไฮโซอายุเท่าไหร่ แต่หลักฐานบนใบหน้าของมันบอกว่าอายุประมาณนี้แหละ 555)

ลิงสาวได้เรียนรู้ว่าคำว่า “เริง” เป็น jargon ประจำสมาคมรวมลิง มันเป็นคำนามหมายถึงกิจกรรมที่ลิงหลายๆ ตัวมารวมตัวกันโดยพยายามนัดหมายซึ่งกันและกันมาก่อน เพื่อพบปะสังสรรค์ รับประทานอาหาร และ ร่วมเสวนา (เรื่องชาวบ้าน!) ที่นี่นอกจากปรมาจารย์ริปปาป้า และลิงตัวอื่นๆ ที่ลิงสาวเคยรู้จักมาก่อนแล้ว มันยังได้พบกับ

ลิงหน้าเด็ก ลิงสาวแห่งเมืองโลซี่ ที่สำเร็จเคล็ดวิชาสูงสุดที่ทำให้หน้าเด็ก แม้อายุจะผ่านไปพันปีแล้วก็ตาม (ด้วยความเคารพนะคะ ^^”)

ลิงนักวิเคราะห์ ลิงหนุ่มแห่งเมืองโลซี่ ที่ชอบคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวตลอดเวลา ลิงตัวนี้มีความรู้และมุมมองหลากหลายน่าสนใจทีเดียว เพียงแต่บางครั้งมันชอบทำหน้าเครียดกับเรื่องทุกเรื่อง…ระวังแก่เร็วนะ จะหาว่าเจ้ไม่เตือน 5555

ลิงเจ้หญิงใหญ่ ลิงสาวแห่งเมืองเจนี่ ลิงเจ้หญิงใหญ่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าโลกเบี้ยวๆ ใบนี้มันกลมอย่างน่าประหลาด เพราะเธอเป็นเพื่อนสมัยวัยเยาว์ของศิษย์พี่ของลิงสาว ณ สำนักเดิม มันรู้สึกว่ามันกับลิงเจ้หญิงใหญ่มีอะไรคล้ายๆ กันหลายอย่าง ทำให้พูดคุยกันถูกคอ และสนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนั้นมันยังสามารถปรึกษาลิงเจ้หญิงใหญ่ได้ทุกเรื่องอีกด้วย

ลิงเจ้หญิงน้อง ลิงสาวแห่งเมืองโลซี่ น้องสาวของลิงนักวิเคราะห์ สวย สดใส ร่าเริงอยู่ตลอด มักจะโดยลิงตั่วเฮียแกล้งอยู่เสมอๆ

ลิงจากเมืองหลวง เป็นลิงที่อ้างว่าตนเองเดินทางมาจากเมืองหลวงของสมาพันธรัฐ swatch เล่นเปียโนเก่ง พูดภาษาเยอรมันได้ และพยายามฝึกพูดภาษาฝรั่งเศส แต่ลิงหลายๆ ตัวให้ความเห็นตรงกันว่ามันช่างไม่เหมาะกับภาษาฝรั่งเศสเอาซะเลย (พิจารณาตัวเองนะ ลิงจากเมืองหลวง 555) เจ้านี่ก็เป็นอีกบทหนึ่งพิสูจน์ว่าโลกเบี้ยวๆ ใบนี้มันกลมจริงๆ นะ! (เพราะมันเป็นเพื่อนของเพื่อนของลิงสาวนั่นเอง…สรุปแล้วลิงสาวมีเพื่อนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย 555)

ลิงนักกฎหมาย ลิงสาวแห่งเมืองเจนี่ ผู้มีความรู้ด้านกฎหมายอยู่เต็มเปี่ยม เรื่องกฎหมายนี่มาปรึกษาเธอได้เลยนะ

ลิงซูรี่ ลิงหนุ่มแห่งเมืองซูรี่ผู้มีอารมณ์ศิลปิน ชอบเขียนบล๊อกและโพสท์ให้ฟังเสียงลมพัดสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอๆ พร้อมกับพกความเฮฮาและสูตรลับพิเศษ “มิ้นท์ปั่น” ที่ทุกคนได้ชิมแล้วต้องตะลึง!

ลิงเซอเซอ ลิงหนุ่มแห่งเมืองเจนี่ผู้พลิกผันชีวิตตัวเองมาร่ำเรียนในสิ่งที่ตนใฝ่ฝัน จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ขอให้ตามความฝันให้สำเร็จนะ

ลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ ให้ความกรุณาแก๊งลิงมาก เอื้อเฟื้อจวนของตนให้เป็นสถานที่สำหรับการเริง ทั้งๆ ที่วันรุ่งขึ้นศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ จะต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ ณ ดินแดนตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์

กิจกรรมเริงวันนั้นประกอบด้วยการกินอย่างสนุกสนาน การร้องเพลงคลอเสียงกีต้าร์ของลิงซูรี่ (ลิงซูรี่โปรมากๆ เล่นเพลงได้ตาม request เลย ขอขอบคุณลิงซูรี่มา ณ ที่นี้ค่ะ) และเล่นเกมดื่มน้ำจันท์คนละจอกสองจอก จนเมาคอพับหลับไปตามๆ กันก็หลายคน 555 แต่ลิงสาวยังครองสติได้จนถึงเช้า…เนื่องจากเธอสำเร็จวิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดการดื่มน้ำจันท์มาจากสำนักเดิมของเธอนั่นเอง 😉 [ควรภูมิใจหรือควรอายดีนะเนี่ย >.<]

แก๊งลิงทโมนหลายสิบชีวิต ได้เริงกันที่บ้านศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ยันเช้า จึงแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา

แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าคุณคิดว่าแก๊งรวมลิงจะแยกย้ายกันจริงๆ แล้วล่ะก็ ขอบอกว่าคุณคิดผิด! เพราะแก๊งรวมลิงยังสามารถจัดกิจกรรมเริงตีลูกขนห่านได้อีก ในวันรุ่งขึ้น (ทั้งๆ ที่เมื่อคืน ลิงแต่ละตัวได้ดื่มน้ำจันท์ไปมิใช่น้อย) สามารถจริงๆ เอ้า…คารวะ 1 จอก..เอ๊ย..ไม่ใช่ๆ เล่าต่อๆ

ลิงสาวได้มีโอกาสประลองฝีมือหวดลูกขนห่านที่ได้ร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยเยาว์วัยกับแก๊งรวมลิงอย่างสนุกสนาน วันนั้นลิงสาวได้รู้จักลิงเพิ่มอีก 1 ตัว คือลิงแพะ ที่มีความสามารถทางดนตรีและสามารถพูดได้หลากหลายภาษา (ยกเว้นภาษาคน…เอ๊ย..ล้อเล่นน)  มีลิงตัวนึงกระซิบบอกมาว่าตอนลิงแพะเล่นเปียโน ระดับความหล่อจะเพิ่มขึ้นอีก 10 จุด >.<

 

All about “เริง”

ลิงสาวได้มีโอกาสร่วมเริงอีกครั้งกับแก๊งรวมลิง โดยมีลิงตั่วเฮียและศิษย์น้องของเขาพาไปเที่ยวชมถ้ำหินงอกหินย้อย ณ เมืองเล็กๆ ห่างจากเมืองโลซี่ไปไม่ไกล การเดินทางวันนั้นไม่ได้ศึกษาแผนที่กันมาก่อน แต่เนื่องจากความพยายาม “เริง” จนถึงขีดสุดของลิงทั้ง 3 ตัวจึงทำให้มันเหล่านั้นได้ไปเริงสมใจ และกลับเข้าเมืองโลซี่ในเย็นวันนั้น โดยมีลิงเจ้หญิงน้องพาไปกินแฮมเบอร์เกอร์ที่อร่อยที่สุดใน 3 โลก 😀

และถ้าคุณคิดว่าความเริงจะสิ้นสุดเท่านี้ ขอบอกเป็นครั้งที่ 3 ล้านว่าคุณคิดผิด! แก๊งรวมลิงไปเริงกันต่อที่บ้านลิงหัวหน้าสมาคมรวมลิงฯ พร้อมฉายหนัง Tintin ดูกันอย่างเมามัน คืนนั้นลิงหัวหน้าสมาคมรวมลิงฯ ได้เอื้อเฟื้อจวนของตนเองให้ลิงสาวได้พำนักชั่วคราวเป็นเวลา 1 คืนอีกด้วย

รุ่งเช้าเราวางแผนกันว่าจะไปเดินชมเมืองโลซี่ แต่เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ ลิงหัวหน้าสมาคมรวมลิงฯ จึงแนะนำให้ไปอ่านคัมภีร์เล่นๆ ณ ศูนย์เหล็กม้วน (Rolex) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ของเมืองโลซี่ที่ใครๆ ก็พากันมาศึกษาหาความรู้ที่นี่ โดยมีเจ้าลิงหยอยเป็นผู้พามาชมสถานที่

ในวันนั้นเองที่ลิงสาวค้นพบว่า ข่าวสารในเมืองโลซี่ เดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง! ตอนนั้นเจ้าลิงไฮโซเลือดกำเดาออก ณ ศูนย์เหล็กม้วน แต่ปรมาจารย์ริปปาป้า ซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้เรื่องราวได้รวดเร็ว ราวกับมานั่งอยู่ที่ศูนย์เหล็กม้วนเสียเอง! และคนส่งสาส์น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้าลิงหยอย!

เย็นวันนั้นแก๊งรวมลิงได้นัดกันหวดลูกขนห่านอีกครั้ง โดยมีปรมาจารย์ริปปาป้าร่วมวงเป็นครั้งแรก ลิงสาวค้นพบว่ากิจกรรมหวดลูกขนห่านนี้สนุกที่สุด ก็ตอนปรมาจารย์ริปปาป้าร่วมลงสนามด้วย ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ริปปาป้าจะไมได้หวดลูกได้เก่งที่สุด แต่ลีลาและความพยายามชนะเลิศ! จึงได้รับรางวัล ลิง of the match ในวันนั้นไป พร้อมประโยคเด็ดประจำกาย “จะเสิร์ฟแล้วนะ จะเสิร์ฟแล้วนะ 1,2,3…”

 

เทศกาลเก็บไข่

ลิงสาวได้มีโอกาสพบเห็นเทศกาลเก็บไข่ของชาวดินแดนตะวันตกอันลึกลับด้วย มันจึงวางแผนเดินทางไปประเทศซ่อนเร้นทางตอนใต้กับลิงศิษย์พี่ร่วมสำนัก “คนที่คุณก็รู้ว่าคือใคร” มันได้ชวนลิงตัวอื่นๆ ที่สนใจไปด้วย เนื่องจากมันได้ทำการจองโรงเตี๊ยมสำหรับ 3 ตนไว้แต่ไปได้เพียงแค่สอง

ลิงเจ้หญิงน้องอยากไปร่วมผจญภัยด้วยมาก แต่ติดที่มันได้นำตราประจำตัวไปขอบัตรเข้าเมืองอื่น และไม่มั่นใจว่าจะนำตราประจำตัวกลับมาทันวันเดินทางหรือไม่ จึงจำต้องปฏิเสธอย่างน่าเสียดาย

ด้วยความเริงเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อลิงสาวทำการ round facebook แล้วพบว่าเพื่อนร่วมสำนักของตนไปเยือนเมืองแห่งหนึ่ง ณ ดินแดนกังหันลมที่มีดอกทิวลิปบานสะพรั่ง ลิงสาวจึงเกิดอาการ “เริง” กำเริบ ต้องการชมดอกทิวลิปบ้าง อะไรบ้าง แต่ครั้นจะให้เดินทางไปดินแดนกังหันลมก็คงจะเปรี้ยวเกินไป จึงได้ชวนลิงเจ้หญิงใหญ่ และ ลิงเจ้หญิงน้องไปชมดอกทิวลิป ณ เมืองมอดและเมืองมองเธอว์ แห่งสมาพันธรัฐ swatch….วันนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของความผูกพันของลิงสาวทั้งสาม

 

สลสสส

ถ้าชีวิตไม่มีอุปสรรคก็ไม่มีวันได้พบมิตรแท้ ลิงสาวทั้งสามได้ช่วยกันแลกเปลี่ยนคำปรึกษา เพื่อช่วยกันและกันในการแก้ปัญหา และทั้งสามได้พบว่ามันเข้ากันได้อย่างประหลาดราวกับพี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานาน ลิงสาวทั้งสามตัวจึงตกลงใจตั้ง “สมาคมลิงโสดแห่งสมาพันธรัฐ Swatch” ขึ้น โดยมีลิงเจ้หญิงใหญ่เป็นประธาน ตอนนี้ต้องมาคอยลุ้นกันว่าใครจะออกจากสมาคมได้ก่อนกัน 😉 [มีวี่แววว่าลิงเจ้หญิงน้องจะเป็นผู้ตีตนจากสมาคมเป็นคนแรก >.<]

 

วันขึ้นปีใหม่

เนื่องจากลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่และภริยา เพิ่งเดินทางกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจที่ดินแดนแห่งโลกตะวันออกมาได้ไม่นาน ลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ จึงได้ดำริที่จะจัดการ “เริง” เป็นการเฉพาะเมืองเจนี่ เพื่อให้ศิษย์น้องทั้งหลายได้มีโอกาสกราบคารวะและทำความรู้จักภริยาของเขา

ภริยาของลิงศิษย์พี่ ทำขนมเส้นตามตำรับแห่งเมืองที่นางจากมาให้เหล่าลิงทโมนแห่งเมืองเจนี่ได้ลิ้มรส มันช่างอร่อยเลอเลิศเปิ๊ดสะก๊าดมากๆ 🙂

และเนื่องจากกำหนดการเริงครั้งนี้ ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ของดินแดนแห่งโลกตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์พอดี เจ้าลิงเซอเซอ ซึ่งพกพาความติสท์มาเต็มเปี่ยม ได้ริเริ่มที่จะทำการรดน้ำดำหัวลิงศิษย์พี่เพื่อขอพร ในฐานะผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาลิงทั้งหลายแห่งเมืองเจนี่

ลิงศิษย์พี่ฯ ทราบมาว่าลิงสาวจะต้องเดินทางกลับดินแดนแห่งโลกตะวันออกในไม่ช้า และได้รับมอบหมายให้ไปร่ำเรียนฝึกปรือวิชาขั้นสูงสุดต่อไป จึงได้อวยพรลิงสาว ว่า “ให้กลับไปสอบซ่อมให้ผ่าน” (ลิงสาวฝากกระซิบมาว่าขอให้พรของศิษย์พี่เป็นจริง การ training ครั้งนี้ขอให้สอบผ่านทุกครั้ง อย่าได้ต้องซ่อมเล้ยยย….สาธุ)

การเริงครั้งนี้ทำให้รู้ว่า ถ้าได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกสมาคมรวมลิงฯ แล้ว ไม่ว่าจะมาจากเมืองไหน ก็มีความสามารถในการเริงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน! แก๊งลิงทโมนเริงกันจนดึกจนดื่น จนกระทั่งคนขับเกวียนรับจ้างพากันกลับบ้านนอนหมด ลิงศิษย์พี่ฯ จึงได้นำเกวียนของเขาออกไปส่งบรรดาศิษย์น้องทโมนทั้งหลายถึงบ้านเมื่อเวลาเลยเที่ยงคืนมาหลายชั่วยาม

 

ติดเกาะ

ลิงสาวใกล้จะสำเร็จเคล็ดลับวิชาจาก “คนที่คุณก็รู้ว่าใครแล้ว” มันจึงอยากใช้เวลาว่างเท่าที่มีในการท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด มันชวนลิงเจ้หญิงใหญ่ และลิงตั่วเฮียไปเมือง วัววัว ที่อยู่ที่ด้านหนึ่งของทะเลสาบกว้างใหญ่ เป็นแคว้นอีกแคว้นหนึ่งที่ไม่ได้สังกัดอยู่ในสมาพันธรัฐ Swatch

และด้วยความเริงอย่างถึงขีดสุด ทำให้ลิงทั้งสามตนมิได้ดูเวลาเรือรับจ้างรอบสุดท้ายที่จะกลับมายังสมาพันธรัฐ Swatch มันมัวแต่ “เริง” กินเครปที่อร่อยที่สุดใน 3 โลกจนเพลิน จนสุดท้ายค้นพบว่าคนขับเรือรับจ้างได้กลับบ้านกลับช่องตนเองไปแล้ว พวกมันเข้าไปถามในโรงเตี๊ยมริมทะเลสาบ พบว่าหนทางกลับสมาพันธรัฐ Swatch ช่างยากลำบากเสียนี่กะไร

“นี่เราจะต้องนอนที่โรงเตี๊ยมนี้จริงๆ หรือ?” ลิงสาวคิดในใจ และต่อด้วยประโยคที่ว่า “มีลิงตั่วเฮียค้างร่วมชายคาด้วยนะ….บรึ๋ยส์ส์ แค่คิดก็กลัวแล้นน >_< “

แต่แล้วก็มีเสียงสวรรค์จากลิงเจ้หญิงใหญ่บอกว่า

“ลองโทร. หาลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ ดูนะ เพราะจริงๆ แล้วเมืองนี้ก็สามารถใช้เกวียนเดินทางมาถึงได้เช่นกัน”

และด้วยเพราะสวรรค์ต้องการโปรดลิงเจ้หญิงใหญ่และลิงสาว บวกกับความเมตตาอันเปี่ยมล้นของลิงศิษย์พี่ฯ จึงทำให้ลิงศิษย์พี่ฯ ขี่เกวียนมารับลิงทั้ง 3 ตนกลับสมาพันธรัฐ Swatch และเอื้อเฟื้อจวนของตนในการ “เริง” ดูหนังเรื่อง Ribbon Hood กันต่อ…เริงจริง อะไรจริง ลิงพวกนี้ >_<

เย็นวันนั้นลิงทั้งสามได้กลับสมาพันธรัฐ Swatch อย่างปลอดภัยด้วยความช่วยเหลือของลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ ขอกราบคารวะมา ณ โอกาสนี้ค่ะ

 

งานเลี้ยงของคุณป้า

วันรุ่งขึ้น คุณป้าเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ลิงสาวและเพื่อนของมันพักอาศัยอยู่ ได้จัดงานเลี้ยง (ไล่)ส่ง ลิงทั้งสองตัวให้ ณ ร้านอาหารของเพื่อนเขา ในเมืองเจนี่ งานนี้นอกจากลิงในเมืองเจนี่ มารวมตัวกันแล้ว ยังมีลิงนักวิเคราะห์ และลิงซูรี่ มาร่วม “เริง” กับเขาด้วย 😉 (บอกแล้วว่าความเริงไม่เข้าใครออกใคร ไม่ขึ้นกับว่าอยู่เมืองไหน 555)

เหล่าลิงทโมนทั้งหลาย เริงกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางอาหารจากดินแดนตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์อันเลิศรส และการพูดจากันอย่างออกรสออกชาติ ในการนี้ ลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ และภริยา ได้เอื้อเฟื้อจวนของตนเป็นสถานที่เริงต่ออีกด้วย เหล่าแก๊งลิงย่อยๆ ย้ายไปเริงกันต่อที่จวนลิงศิษย์พี่ ณ เมืองเจนี่ โดยมีลิงซูรี่เป็นผู้บรรเลงเพลงกล่อมเหล่าลิงทุกตัว

ลิงสาวต้องขอตัวกลับก่อน เนื่องจากมันติดภารกิจสำคัญ คุยกับมารดาในตอนเย็นของทุกวัน ผ่านการสื่อสารทางโปรแกรมขั้นสุดยอดทาง internet เพราะลิงสาวเป็นลูกลิงเพียงตัวเดียวของครอบครัว ทำให้มารดามีความเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ [คาดว่าถ้ามารดาได้มาอ่านบันทึกการเดินทางฉบับนี้แล้ว คงจะเป็นลมเลยทีเดียว…ลูกชั้น “เริง” ขนาดนี้เลยเหรอ 555  ขอความกรุณาแก๊งลิงทั้งหลายเก็บบันทึกฉบับนี้เป็นความลับจากมารดาของลิงสาวด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง 😉 ]

 

เที่ยวชมเมืองโลซี่กับสมาคมรวมลิงฯ

วันเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ผ่านไปเดี๋ยวเดียว ก็ถึงสัปดาห์สุดท้ายในดินแดนแห่งโลกตะวันตกอันลึกลับของลิงสาวแล้ว วันสุดท้ายเดินทางกลับ สมาคมรวมลิงฯ ได้จัดกิจกรรมรวมลิงทุกตัวเพื่อเที่ยวชมเมืองโลซี่ตามรอยพระบาทฯ ในตอนเช้า และกิจกรรมหวดลูกขนห่านในตอนเย็นขึ้น

แต่ถ้าคุณคิดว่าลิงสาวจะไปร่วมกิจกรรมนี้ในตอนเช้า ขอบอกว่าคุณคิดผิด! เนื่องจากลิงสาวมีความเริงอย่างเต็มเปี่ยม มันจึงชวนลิงเจ้หญิงใหญ่มาตั้งแต่ตอนเย็นก่อนวันงาน มาเริงกันอย่างย่อยๆ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมการเริงครั้งใหญ่ ณ บ้านลิงเจ้หญิงน้องและลิงนักวิเคราะห์ งานนี้ลิงเจ้หญิงใหญ่เข้าครัวลงมือทำเอง กะเพราะไก่ไข่ดาวแสนอร่อย และลิงเจ้หญิงน้องใจดีพาไปลิ้มรส chocolate ร้อนที่อร่อยที่สุดในเมืองโลซี่อีกด้วย…อร่อยจริงๆ นะ ^o^

กิจกรรมตอนเช้า ปรมาจารย์ริปปาป้าเป็นผู้นำชมเมืองและบรรยายเกร็ดความรู้ต่างๆ นานา ให้พวกลิงทั้งหลายตาสว่าง และหัวแหลมขึ้นอีก 3 จุด โดยมีลิงสาวเป็นผู้ช่วย (ไม่รู้ช่วยรึเปล่า ท่าทางจะเป็นช่วยป่วนซะมากกว่า 555) โดยแก๊งลิงได้เดินทางไปเยือน แฟลตเลขที่ 16, 19 มหาวิทยาลัยเก่าของเมืองโลซี่ และ ที่สุดท้ายคือศาลาไทย

กิจกรรมตอนบ่ายได้เคลื่อนย้ายพลไปที่สถานจัดกิจกรรมหวดลูกขนห่าน แต่กว่าจะได้หวดลูกขนห่าน ลิงทุกตัวต้องผ่านกิจกรรมทลายน้ำแข็งในตัวซะก่อน (Break the ice) กิจกรรมนี้สนุกสนานเฮฮามาก ลิงสาวรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นลิงเด็กอีกครั้ง (อันที่จริงแล้ว มันก็ยังไม่แก่นะ >.<)  และตามมาด้วยกิจกรรมหวดลูกขนห่านกันอย่างสนุกสนาน ^w^

ลิงสาวได้พบเพื่อนลิงอีกหลายตัว เดินทางมาจากหลากหลายเมืองทั่วสมาพันธรัฐ Swatch สุขสนุกสนานอย่างมาก

 

เริงส่งท้าย

ในตอนเย็น แก๊งลิง ณ เมืองโลซี่ ได้จัดกิจกรรม “เริงส่งท้าย” ให้กับลิงสาวและเพื่อนของมัน และบังเอิญว่าเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับวันคล้ายวันเกิดของลิงหยอย และลิงหน้ามึนพอดี จึงถือเป็นการจัดกิจกรรม “เริง” ไปพร้อมๆ กันเลย งานนี้ได้รับการเอื้อเฟื้อสถานที่จากลิงหน้าเด็ก โดยเธอได้อนุญาตให้ใช้ที่พำนักชั่วคราวในการศึกษาวิทยายุทธ์ของเธอสำหรับการเริงครั้งนี้

บรรดาข้าวปลาอาหารได้รับการสนับสนุนจากลิงหน้าเด็กกับเมนูต้มยำกระดูกหมูแสนอร่อย ลิงตั่วเฮียกับเมนูหมูกระเทียมพริกไทย และลิงเจ้หญิงใหญ่กับข้าวมันไก่แสนอร่อย (แนะนำว่าให้ลิงเจ้หญิงใหญ่เปิดโรงเตี๊ยมขายข้าวมันไก่ ในเมืองเจนี่ได้ เดี๋ยวลิงสาวกับลิงเจ้หญิงน้องจะช่วยหาลิงหนุ่มหล่อๆ มาสับไก่ให้นะคร้า)

ในการเริงส่งท้ายเราได้เสวนาปัญหาวิชาการ โดยวิทยากรลิงผู้เชี่ยวชาญ ลิงสาวจากเมืองลูกาโน่ และลิงบอลลี่ ณ เมืองโลซี่ ผู้ที่ถูกที่บ้านกักเก็บตัวไม่ยอมให้ออกมาเจอโลกภายนอก กิจกรรมเสวนาครั้งนี้มีลิงตั่วเฮียนำทีมตั้งคำถามอันลึกซึ้งและลึกลับ ยากที่จะเปิดเผยหรือหาฟังได้จากที่ไหน นับเป็นบุญหูของลิงทุกตัวที่ได้ฟังเลยทีเดียว >.<

ลิงสาวเริง to the max โดยการใช้เวลาคืนสุดท้ายในสมาพันธรัฐ swatch ที่บ้านลิงเจ้หญิงน้อง ณ เมืองโลซี่ จึงค่อยเดินทางกลับเมืองเจนี่ในรุ่งสางของวันรุ่งขึ้น

 

 

สาส์นสุดท้ายถึงบรรดาเพื่อนลิง

งานเลี้ยงย่อยมีวันเลิกเรา แต่มิตรภาพต่างหากที่จะยั่งยืนตลอดไป ลิงสาวมิอาจใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนแห่งโลกตะวันตกอันลึกลับได้อีกต่อไป เมื่อเวลาของมันหมดลง มันจำต้องเดินทางกลับดินแดนแห่งโลกตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งหิมะไม่เคยตก เพราะมันมีภารกิจสำคัญต้องร่ำเรียนสุดยอดคัมภีร์สูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา ณ ราชสำนัก “วังหลัง”

เจ้าลิงสาวอยากให้เพื่อนของมันรู้ไว้ว่า ช่วงเวลาสั้นๆ ที่สมาพันธรัฐ Swatch เป็นช่วงที่มันมีความสุขสนุกสนานอย่างมาก และมันจะไม่ลืมช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้เลย ถ้าเหล่าบรรดาเพื่อนลิง ได้มีโอกาสเดินทางกลับดินแดนแห่งโลกตะวันออกอันศักดิ์สิทธิ์ และยังคิดถึงมัน ก็สามารถไปหามันได้ทุกเวลา ณ ราชสำนัก “วังหลัง” เพราะคาดว่ามันคงจะไม่ไปไหนจากบ้านหลังที่สองแห่งนี้ (ยกเว้นโดนปรามาจารย์ขับไล่อ่ะนะ)

หรือถ้าเหล่าบรรดาเพื่อนลิงมีปัญหาด้านสุขภาพต้องการปรึกษา ก็สามารถมาปรึกษามันได้เช่นกัน อะไรที่รู้จะตอบ อะไรที่ไม่รู้จะพยายามไปหาคำตอบมาให้ ถ้ามีปัญหาต้องการปรึกษาด้านการแพทย์อย่างเร่งด่วนก็สามารถกริ๊งกร๊างหากันได้ตลอดเวลา เพราะโทรศัพท์ของมันเปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ถ้าไม่รับสายแปลว่าติดภารกิจสำคัญกว่า…นั่นคือการคุยกับผู้ชาย 555….ไม่ใช่ๆๆ แหมๆๆ ดูแลคนไข้อยู่!) แต่ลิงสาวก็อยากให้ลิงทุกตัวมีสุขภาพดีมากกว่า ถ้าจะมาหากันก็มาหากันด้วยความคิดถึงดีกว่ามาหาเพราะป่วยเนอะ ^w^

 

ขอบคุณลิงทุกตัวสำหรับช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมา

ขอบคุณจริงๆ จากใจ

หวังว่าเราคงจะได้พบกันใหม่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้

ลิงเจิงเจิง/ลิงหัวใส/ลิงหัวแหลม

เมษายน 2555

ลงเขาครั้งที่สอง

.

.

ผมตั้งใจว่าจะบันทึกเกี่ยวกับการไปสกีทุกครั้ง เพราะแต่ละครั้งย่อมได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีเวลา เอาเป็นว่าคงได้พูดถึงเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นเด่นๆ ก็คงเพียงพอ

Flaine เป็นสถานีสกีที่เราไปกันบ่อยที่สุด ผู้ที่รู้จักหิมะเกือบจะทุกก้อนที่นั่นน่าจะได้แก่ ฆ้อน ซูม และบู ซึ่งฤดูกาลที่แล้ว (หน้าหนาว 2554) ได้ไปหัดเล่นสโนว์บอร์ดใน โหมด “ล้มไม่กลัว กลัวไม่เท่” กันมาอย่างสะบักสะบอม

ปีนี้แม้สองชื่อหลังจะไม่ได้มาร่วมก๊วน แต่ฆ้อนได้ฉีกยี่ห้อมือใหม่ทิ้งและมาในมาดนักสโนบอร์ดมือหนึ่ง เมื่อรวมผม อาจารย์ท๊อป ยอด และวัส เราก็ได้สมาชิกรวม 5 คน ขึ้นไปสำรวจแทร็คสกี Flaine แบบของจริง ความสนุกที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งของสกี(และสโนว์บอร์ด แต่จะขอเรียกสกีเฉยๆ เพื่อความง่ายในการพิมพ์) ก็คือ การที่เราได้สู้กับความชันร่วมกัน (ถึงแม้ต่างคนจะต่างไถลมาด้วยตัวเอง) ที่บอกว่าร่วมกันหมายถึงเราต้องวางกลยุทธ เช่น จากแทร็คนี้จะไปต่อตรงนั้นแล้วจะไปขึ้นลิฟท์นี้เพื่อไปตรงนั้นต่อ… แล้วเรายังต้องเลือกที่กินข้าว จุดแวะพัก จุดถ่ายรูป และตัดสินใจลองของใหม่ๆ ร่วมกันด้วย สำหรับผมการสกีจึงถือเป็นการผจญภัยสำเร็จรูปอีกอย่างหนึ่งที่อร่อยกว่ามาม่าหลายช่วงตัวนัก

วันนั้นก็มีสิ่งที่สมควรบันทึกไว้อย่างยิ่ง เพราะหลังจากจัดการแทร็คสีแดงกันจนสนุกมือแล้ว เราก็ตัดสินใจลองแทร็คสีดำดู วัสกับยอดซึ่งชั่วโมงบินน้อยกว่าคนอื่นเป็นผู้คอนเฟิร์มประทับตราอนุมัติว่า “เราน่าจะเอาอยู่”

ว่ากันว่าใครไม่ได้ลองแทร็คที่ชื่อ diamond noir (เพชรสีดำ) ก็ยังถือว่ามาไม่ถึง Flaine

เราไปถึงแล้ว!

ขอแนะนำเพชรสีดำก่อน เพชรเม็ดนี้แบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ตรงส่วนหัวเพชรนั้นมีส่วนตะปุ่มตะป่ำอยู่บ้่างแต่ไม่ได้ถูกตัดจนชันเกินไป ตรงพื้นที่ส่วนนี้เป็นที่ร่ำลือกันหนาหูว่า “ผมยังไม่เห็นร่องรอยของความยากเลยว่ะ”

ว่ากันว่าเพชรนั้นมีคุณสมบัติที่หลอกให้คนติดกับเอาง่ายๆ จากประกายแรกเห็น จากความสวยงาม และจากมูลค่าของมัน กว่าที่คนเราจะรู้ว่าหลงติดกับในเพชรก็อาจจะเสียคนไปเลยทีเดียว

และยิ่งเป็นเพชรสีดำ กว่าที่พวกเราจะรู้ว่าหลงติดกับ เราต่างก็ได้เสียคนไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนที่สองของเพชรสีดำมีส่วนผสมของสถานที่ที่ใช้ฆ่าตัวตายครบถ้วน พื้นที่ที่ตัดเฉียงลงมาในลักษณะทิ้งดิ่ง ลูกระนาดที่ทั้งใหญ่และลึกของมันราวกับถูกตั้งใจเจียรไนมาเพื่อให้คนที่พบเห็นต้องรู้สึกสติแตก และคนที่ตกลงไปกระแทกให้มีอันเครื่องในย้ายที่ไปมา คนที่พลาดท่าให้กับมันไม่สามารถทำอะไรที่แสดงให้เห็นว่าต้านทานแรงจีได้เลย

สำหรับท๊อป มันเป็นส่วนที่ “ต้องใช้ท่านั่งลงมาตั้งนาน กว่าจะได้ลุกขึ้นมา”

ยอดผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่น่าจะติดกับ ได้ให้ความเห็นแบบจำนนว่ามันเป็น “point of no-return”

ส่วนวัสผู้นิยมไปข้างหน้าด้วยความเร็ว แต่กลับมาลุ่มหลงเพชรเม็ดนี้ไม่ยอมไปไหนเพราะ “ไม่ไหวแล้ว ต้องมีศักยภาพมากกว่านี้”

ในขณะที่ผมเองได้ตะโกนพูดกับฆ้อนผู้ลงไปนับศพทหารล่วงหน้าว่า “ฆ่าตัวตายแล้วโว้ย” ในจังหวะที่กลั้นใจไถสกีลงไปอย่างหมดท่า

ทั้งหมดนี้ไม่ขอพูดถึงว่ายอดถอดสกีออกเพราะตั้งใจจะเดินลงแต่กลับลื่นไถลลงมาสามร้อยเมตรแบบหยุดไม่ได้ ความฟุ้งของหิมะสวยงามจนเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมบนลิฟท์กึกก้อง ไม่ขอพูดถึงว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งบนแทร็คสกีซึ่งท๊อปกับวัสถือว่ายังโชคดีที่แม้ถูกคนลื่นไถลลงมาชนแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด (คนที่บาดเจ็บกลับเป็นฆ้อนซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ความเปรี้ยวส่วนตัวเหาะออกไปนอกแทร็คจนจมหิมะ)

เพชรสีดำช่วงสุดท้ายแม้ประกายจะออกแดงๆ ฟ้าๆ แล้ว แต่เราก็ยังขวัญเสียสกีลงมากันอย่างทุลักทุเล เรียกว่าเราทั้ง 5 คนใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะปราบหัวหน้าด่านได้ จบการผจญภัยที่ต้องไปฝึกฝนมาเพิ่มเติมอีกมากจึงจะสามารถกลับมาอีกครั้งแบบพร้อมไปถึงจิตวิญญาณ

อย่างไรก็ดี ดั่งนายพรานมือฉกาจที่ได้สู้กับเสือมาแล้ว จะให้มาสู้กับปุเรงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ฉันใดก็ฉันนั้น เวลาที่เหลือของ “การลงเขา” บ่ายวันนั้น ไม่มีแทร็คสีแดงใดๆ ที่น่ากลัวอีกต่อไป (ตราบที่สีแดงนั้นไม่ใช่เนินกระโดดผาดโผนที่เราไปล้มคว่ำกันอีก 4 ใน 5 คน โดยมียอดคนเดียวที่เป็นผู้รอดชีวิต)

จบการเล่นสกีที่ Flaine ที่เราจะสรุปเรื่องราวสั้นๆ ด้วยส่วนประกอบหลัก 5 อย่างต่อไปนี้

อ๊อฟกับลูกเกดชุดสกีใหม่เอี่ยม

พี่ป้องกับพี่อาร์ทคู่เดทผิดที่ผิดทาง

diamond noir ทุ่งสังหารหมู่

fun park ศพกระจาย

และ…

ใครไม่ได้มาเสียชาติเกิดมาก

.

.

(ขออนุญาตเติม video, ฆ้อน)

ประเทศบาสก์ – บทที่หนึ่ง

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวอีกประเทศหนึ่งพร้อมกับเพื่อนๆฝรั่ง และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปเหยียบประเทศสเปน

แต่เดี๋ยวก่อน สิ่งที่ผมเขียนไปด้านบนอาจจะมีใครหลายคนไม่เห็นด้วย ผมขออนุญาตเริ่มใหม่

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวอีกประเทศหนึ่งพร้อมกับเพื่อนๆฝรั่ง และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปเหยียบประเทศบาสก์

ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านอาจจะกำลังงงเมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ ผมขออธิบายถึงที่ๆผมได้ไปเยือนมาเลยละกัน ที่ๆผมไปมานั้นก็คือแคว้นบาสก์ แคว้นบาสก์คือบริเวณทางภูมิศาสตร์ที่เป็นถิ่นกำเนิดของชนชาวบาสก์ ซึ่งกินเนื้อที่ทั้งสองฟากของชายแดนฝรั่งเศส-สเปนด้านชายฝั่งแอตแลนติค ส่วนของเเคว้นบาสก์ที่ผมไปเหยียบมานั้นคือส่วนที่อยู่ในเขตแดนสเปน ต่อไปนี้คือมุมมองของหลายฝ่ายที่มีต่อพื้นที่นี้

เริ่มจากกฏหมายรัฐธรรมนูญปี 1978 ของสเปนที่ระบุว่าพื้นที่นี้คือ เขตปกครองตนเองแห่งประเทศบาสก์ (Comunidad Autonomia del Pais Vasco) นี่หมายความว่าประเทศบาสก์มีรัฐบาลเป็นของตัวเอง มีอำนาจบริหารงานในหลายๆเรื่อง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และนี่ก็หมายความว่าประเทศบาสก์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสเปน โดยข้อนี้ตรงกับความคิดชาตินิยมสเปนที่มองว่าประเทศสเปนสมควรเป็นหนึ่งเดียว (เนื่องจากราชอาณาจักรสเปนประกอบไปด้วยแคว้นต่างๆ โดยที่หลายๆแคว้นมีชนชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และ/หรือภาษาที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น แคว้นคาตาลูเนีย และแคว้นบาสก์)

ผู้ที่มีความคิดชาตินิยมบาสก์มีความเห็นว่าประเทศบาสก์ไม่ควรต้องอยู่ในสถานะตามที่กฏหมายสเปนระบุ เนื่องจากประชาชนบาสก์ส่วนมากลงความเห็นไม่รับรองรัฐธรรมนูญปี 1978 (แต่ประชากรสเปนส่วนมากรับรองรัฐธรรมนูญนี้จึงผ่าน) เขาจึงเชื่อว่าประเทศบาสก์ไม่ควรต้องอยู่ภายใต้กฏหมายที่ตนเองไม่ได้รับรอง

ต่อจากนี้ผมจึงขอเรียกที่ๆผมไปเที่ยวมาว่า ประเทศบาสก์ เพราะว่าไม่น่าจะมีใครไม่เห็นด้วย (ขนาดกฏหมายสเปนยังเรียกอย่างนี้)

แค่จะเลือกคำมาเรียกที่ๆผมไปเที่ยวมานี่ก็ยาวเกือบหน้าแล้ว ผมจึงขอให้ย่อหน้านี้เป็นตอนจบของบทที่หนึ่งไปเลยละกัน

ขอโม้

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ขี่จักรยานระยะทางไปกลับหกสิบกิโลเมตร ภายใต้อากาศที่ต่ำกว่าติดลบสิบองศา ผมดีใจที่ได้มีโอกาสทำอะไรเช่นนี้ หนึ่งเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่แม้เหนื่อยแต่ก็สวยงาม สองเพราะมันทำให้ผมได้มาเขียนโม้ในบทความนี้

มันเริ่มจากว่าเพื่อนๆที่โรงเรียนชวนกันไปฉลองวันเกิดของเพื่อนสองคนที่บ้านพักตากอากาบนเนินเขาในเขตประเทศฝรั่งเศส ไปวันเสาร์ กลับวันอาทิตย์ ห่างจากตัวเมืองเจนีวาออกประมาณสามสิบกิโลเมตร ระหว่างที่ทุกคนกำลังถกกันถึงว่าใครจะขึ้นรถใครไป เพื่อนผมที่ชื่อโลวิสก็ได้บอกว่าเขาจะขี่จักรยานไป เขาหันมาชวนผม

ผมลังเล….ระยะทางสามสิบกิโลเมตรที่มีขึ้นลงเขาปะปนอยู่ด้วยนั้นเป็นไปได้แน่ถ้าจะขี่ และวิวก็น่าจะสวยไม่เบา แต่มีความกลัวหลายข้อที่ผุดขึ้นมาในหัวผม หนึ่งมันหนาวมากซึ่งอาจทำให้เป็นตะคริวหรือไม่สบายได้ สองผมกลัวว่าจะเหนื่อยและปาร์ตี้คืนนั้นไม่สนุก สามถนนลื่นเพราะอาจจะมีหิมะหรือน้ำแข็ง

เพื่อนๆทุกคนให้ความเห็นการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่บ้ามาก เพราะเหตุผลเหมือนข้อหนึ่งและสามของผม บวกกับกลัวว่าเราสองคนจะหลงทางเพราะที่จะๆไปนั้นเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ

แต่โลวิสมีทีท่าเหมือนกับว่าเขาจะทำอะไรที่เป็นเรื่องปกติสุดๆ และไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น เมื่อเพื่อนๆหลายคนถามว่าหนาวและไกลขนาดนั้นจะปั่นไปได้ไง โลวิสตอบสั้นๆง่ายๆว่า “ปั่นไงล่ะ”

อาจจะเป็นคำตอบสั้นๆง่ายๆนี้ที่ทำให้ผมตัดสินใจปั่นไปกับเขา อีกอย่างคือจักรยานที่โลวิสขี่นั้นน่าจะเข้าข่ายคำว่าบุโรทั่ง ส่วนของผมนั้นเป็นเสือภูเขาที่จัดอยู่ในสภาพใหม่ทีเดียว ผมจึงบอกตัวเองว่าถ้าโลวิสเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมผมไม่ลองทำมันดูล่ะ

และแล้วผมก็ตัดสินใจร่วมทางไปกับเขาด้วยการ ปั่น

อย่างไรก็ดี เราก็ไม่ใช่คนบ้าสองคนที่อยู่ดีๆจะขี่ไปซะอย่างนั้น เรามีการเตรียมการณ์กันเป็นอย่างดี เราศึกษาแผนที่ รู้ว่าต้องเลี้ยวตรงไหนบ้าง มีการพูดคุยว่าต้องเตรียมการกันหนาวอย่างไรบ้าง มีหมวกกันน็อก และเตรียมจักรยานให้อยู่ในสภาพพร้อม รวมทั้งก่อนออกก็ได้กินมะนาวสดๆไปคนละครึ่งลูกเพื่อกันป่วย

ถึงเวลาปั่นจริงก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้นเพราะร่างกายอุ่นจากการออกแรงปั่น ยิ่งพอถึงช่วงที่ออกจากตัวเมืองไปแล้วก็เป็นช่วงขึ้นเขาต่อเนื่องจนห่างจุดหมายประมาณหกกิโลเมตร การปั่นขึ้นเนินติดต่อกันเป็นชั่วโมงนั้นคงยากกว่านี้มากถ้าหากไม่มีทิวทัศน์ของ ทุ่งหญ้า ภูเขา บ้านเรือน ถนน ต้นไม้ ที่ล้วนถูกปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะ อีกทั้งการหยุดกลางทางเพื่อกินแซนด์วิชเเละดื่มเบียร์ก็ช่วยเพื่มพลังอีกมิใช่น้อย

ถึงตอนนี้ขอโม้ถึงโลวิสสักหน่อย เขาได้แสดงให้ผมเห็นว่าการขี่จักรยานครั้งนี้ที่ผมถึงกับเอามาเขียนโม้เป็นบทความนั้นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยจริงๆสำหรับเขา ตอนที่แวะซื้อของทีซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนออกจากตัวเมือง เขาได้ซื้อผักผลไม้จำนวนมากเพื่อเอากลับบ้านในวันถัดไป (เพราะว่าวันอาทิตย์ทุกอย่างที่เจนีวาปิดหมด) อีกทั้งเบียร์และไวน์อีกหลายขวดที่เราแชร์กันซื้อสำหรับปาร์ตี้ นี่ยังไม่รวมเสื้อผ้าและถุงนอนที่อยู่ในเป้อยู่แล้ว  ผมบอกเขาว่าไม่ต้องซื้อเยอะขนาดนั้นก็ได้เพราะมันหนัก แต่เขาก็บอกว่าไม่มีปัญหา และทั้งทางเขาก็ไม่มีปัญหาจริงๆ แม้ว่าจักรยานของเขาจะเป็นจักรยานแข่งบุโรทั่งที่ล้อบางนิดเดียวและเกือบไม่มีดอกยาง เขาก็ผ่านถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะหนาไปอย่างสบายกว่าผมที่ขี่เสือภูเขาพร้อมยางที่เข้าข่ายออฟโรด หลายครั้งที่เขาต้องหยุดรอผมที่หอบแฮ่กๆตามมา สองครั้งที่เขาหยุดรอเขาจุดบุหรี่สูบหน้าตาเฉย!

และแล้วก็ขอโม้ว่าพอไปถึงแล้วก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย ยังมีแรงออกไปเดินเล่น วิ่งเล่นและไถลเล่นบนเลื่อนหิมะกับเพื่อนๆที่นั่งรถยนต์มา และจากนั้นก็ปาร์ตี้อย่างสนุกสนานไม่ได้หมดเรี่ยวแรงอย่างที่กลัวไว้ตอนแรก แม้ว่าขากลับจะเหนื่อยกว่าเดิมอีกหน่อย แต่ก็กลับมาถึงเจนีวาอย่างไม่มีปัญหา

บ้านที่ไปอยู่คืนนั้นสวยและอบอุ่น ธรรมชาติที่ล้อมรอบงามจนสามารถไปโม้ต่อเป็นอีกหนึ่งบทความได้ ผมเชื่อว่านักเรียนดนตรีทั้งสิบห้าคนที่ไปค้างคืนคืนนั้นมีได้มีเวลาที่ดีมากๆร่วมกัน แต่ผมกับโลวิสได้มีประสปการณ์ที่พิเศษกว่าอีกสิบสามคนที่นั่งรถไป เริ่มตั้งแต่ที่เราเปิดกูเกิ้ลแมพส์เพื่อศึกษาทาง จนไปจบที่ตอนเตะขาตั้งจักรยานลงเมื่อกลับถึงบ้าน

ลงเขาครั้งที่หนึ่ง

.

.

วันนี้มาขอเคาะสนิม blog นี้ด้วยการประเมินผลทริปสกีที่ผ่านมา

(1) เรื่องการเดินทาง

นับว่าพอไหว ขาไปนั่งเบียดกันหน่อยแต่ถือเป็นการอบอุ่นร่างกายไปในตัว ขากลับแยกย้ายกันกลับไปตามธุระของตน เข้าใจว่าพี่ป้อง พี่อาร์ท และท๊อป จะได้รับความสะดวกตามอัตภาพกับการนั่ง public transport แต่ถึงจะไม่สะดวกยังไง ทางทีมงานเราก็ไม่สงสาร เพราะแอบสมน้ำหน้าที่กลับไปก่อน

(2) เรื่องสัมภาระ

ตัวผมเองเอาเสื้อผ้ามามากเกินจำเป็น เพิ่งเคยมาอยู่ชาเล่ท์ทั้งอาทิตย์เป็นครั้งแรก ยังกะไม่ถูก พวกชุดใส่เล่นสกีความจริงสามารถใส่ชุดเดิมทุกวันได้ เปลี่ยนแต่เสื้อข้างในสุดก็พอ (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เจอฝนหรือหิมะตก เราก็เลยไม่ต้องเปียกกัน) ถ้าใช้เสื้อชั้นในสุดแบบมีเทคโนโลยีที่ทำให้เหงื่อไม่เกาะเหมือนฆ้อน เสื้อก็จะไม่เหม็น สามารถใส่ตัวเดียวมันทั้งอาทิตย์ได้เลย

ส่วนที่ทุกคนยังสงสัยก็คือ พี่อาร์ท…. เฮียอยู่สองวัน ไม่ทราบว่าในเป้นั้นมันคืออะไรบ้างครับ อย่างกับไปอยู่แคมป์อพยพหนึ่งเดือนแน่ะ ว่างๆ แวะมาแจกแจงด้วย

(3) เรื่องอาหารการกิน

ลองกันมาหลายทริปหลายวิธี คราวนี้ลองโมเดลแบบไม่เตรียมวัตถุดิบอะไรไปเลย แต่ไปซื้อกันสดๆ ปรากฎว่าของเหลือบานเบอะเหมือนเดิม เรื่องกินนี่ยากบริหาร จริงๆ ทริปต่อๆ ไปก็พยายามออกแบบกันใหม่ว่าเอาไงดีให้ลงตัวที่สุด อย่างไรก็ดีอาหารเราเปรมกันทุกมื้อ ทั้ง raclette ไข่เจียว สุกี้ สปาเก็ตตี คนที่ไม่ได้มาเสียชาติเกิดมาก

(4) เรื่องที่พัก

ทุกคนรักษากฏค่ายเรื่องความสะอาดอย่างเคร่งครัด บ้านเรียบร้อยดีมากจนถึงวันสุดท้าย ตัวบ้านเองก็ไม่เลว มีทั้งอุปกรณ์ครบครัน เครื่องใช้ต่างๆ สะดวก รวมทั้ง location ที่ใกล้กับทุกสิ่ง ที่สำคัญราคาไม่แพงเท่าไหร่ ความจริงเราไปกันช่วง low season (มีอยู่ week เดียวนี่แหละ) ราคาเลยถูกกว่าปกติถึงสามเท่าตัว คนที่ไม่ได้มาเสียชาติเกิดมาก

(5) เรื่องสกี

แทบไม่ต้องบรรยายเพิ่ม คนที่ไม่ได้มาเสียชาติเกิดมาก ส่วนคนที่มาแล้วไม่ได้เล่นทุกวันอย่างพี่ตอย มิ้น ก็น่าเสียดายเช่นกัน ครั้งนี้อากาศดี แดดออกทั้งอาทิตย์ คนที่ไม่ได้มาเสียชาติเกิดมาก หิมะเยี่ยม ส่วนเขาทั้งเขาเล่นยังไงก็ไม่หมด เราได้ชมทั้งวิว panorama วิวกลางป่าสน วิวเหว วิวพระอาทิตย์ตก คนที่ไม่ได้มาเสียชาติเกิดมาก

(6) ที่สุดของที่สุด

ข้าวของเยอะที่สุด – พี่อาร์ท

เริงที่สุด – พี่อาร์ท

skype มากที่สุด – เจี๊ยบ (ขนาดไม่มายังติดอันดับ)

งานเข้าที่สุด – ฆ้อน

แฟชั่นที่สุด – ฆ้อน

ขำที่สุด – เกมมาริโอ้ Wii

ใจสู้ที่สุด – พี่อาร์ท (ล้มยังไงก็ยังสู้)

ล้มกลิ้งที่สุด – พี่อาร์ท หน่อง หมู สามรายนี้สูสีมาก ยากตัดสิน

ทุ่มเทที่สุด – ท๊อป (อาจารย์ท๊อปยังทุ่มเทสอนเหมือนเดิม)

เซ็งที่สุด – วันแรกรถติดมาก เป็นชั่วโมง

หอยหลอดที่สุด – ซูม(เอากุญแจบ้านไปซ่อน)

ดุที่สุด – …… (ดุขนาดไหน ชื่อยังไม่กล้าเอ่ย)

ป่วยที่สุด – พี่ตอย

ไหม้เกรียมที่สุด – ป๊อปคอร์น

ผิดหวังที่สุด – บ้านไม่มีเน็ท

สะใจที่สุด – พี่ป้องโดนยัดหมู

มันส์ที่สุด – ยัดหมูพี่ป้อง

หมูที่สุด – พี่ป้อง

บ้าบิ่นที่สุด – ซูม (เล่นสกีวันแรก ขึ้นยอดเขาเลย)

บ้าบอที่สุด – เล่นลูช (หรือโกคาร์ทบนหิมะนั่นเอง) ลงเขากว่าสามกิโล (นัต ฆ้อน มิ้น)

สปิริตที่สุด – ฆ้อน(นอกจากยอมที้ง “งาน” มาสกี แล้วยังมีแบกกล้องขึ้นเขาไปเก็บรูปสวยๆ มาอีก)

อาหารหรูที่สุด – บานาน่าสปริทฆ้อน

อาหารยอดนิยมที่สุด – ไข่เจียว กับ สปาเก็ตตี สูสีมาก

อาหารเหลือเยอะที่สุด – มันฝรั่ง

เสียดายเงินมากที่สุด – พี่ตอย​(ซื้อ pass ทั้งสัปดาห์ ได้เล่นแค่สามวัน)

เสียชาติเกิดที่สุด – คนที่ไม่ได้มา

.

.

มหานคร…

มหานคร…
.
.
.

การแข่งขัน ป้ายโฆษณา…

เบียดเสียด วัตถุนิยม…

คดีปล้นชิงทรัพย์ในหมู่บ้านเปลี่ยว…

บัตรประชาชนเด็กเจ็ดขวบ…

ผู้บุกรุกป่าสงวน คอปเตอร์ตก…

ช่องรถด่วนบีอาร์ทีกับแท็กซี่กรุงเทพ…

เด็กอาชีวะถล่มคู่อริรถเมล์พรุน…

โยกย้ายตำรวจ แพะตกเก้าอี้…

น้ำท่วมครั้งใหญ่ ยายชราจมน้ำสองศพ…

เงินเดือนหมื่นห้า ค่าแรงสามร้อย…

.
.
.
…หมานคร

~

“น้ำดี น้ำสะอาด ย่อมหายไปกับแม่น้ำที่เน่าเสียเป็นธรรมดา บางครั้ง เราก็เป็นแค่น้ำสะอาด เก็บรักษาในขวด ลอยไปกับแม่น้ำนั่น เผื่อซักวันนึงคนที่กระหายน้ำได้หยิบขึ้นมากินก็เป็นพอแล้ว”

[14 พฤษภาคม 2011, งานทำบุญวิสาขบูชา ณ วัดศรีนครินทรวราราม]